อ็อคซาน่า ชูโซวิตาน่า
อ็อคซาน่า ชูโซวิตาน่า
จุดเริ่มต้นแห่งตำนาน
อ็อคซาน่า ชูโซวิตาน่า เกิดที่ประเทศ อุซเบกิสถาน ที่ตอนนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต
เธอเริ่มหัดเล่นยิมนาสติกตั้งแต่ 8 ขวบ ก่อนทะลุขึ้นไปเป็นแชมป์เยาวชนแห่งชาติของสหภาพโซเวียตในปี 1988 ตอนที่เธอมีอายุเพียง 13 ปี
หลังจากนั้นเธอได้ก้าวขึ้นมาเป็นสมาชิกคนสำคัญในทีมชาติชุดใหญ่ของสหภาพโซเวียตปีถัดมาทันที ก่อนพาทีมคว้าแชมป์สำคัญหลายรายการ
และในปี 1991 ด้วยวัยเพียง 16 ปี เธอก็ประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์โลก ยิมนาสติก ประเภททีม และยังเป็นแชมป์โลกในท่า ฟลอร์เอ็กเซอร์ไซส์ อีกหนึ่งท่าด้วย
แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเป็นนักยิมนาสติกอันแสนยาวนานกว่า 30 ปีของเธอ
ซึ่งมันนานมากขนาดที่คนถึงกับแซวกันว่า ในวันที่เธอคว้าแชมป์โลกครั้งแรกนั้น คู่แข่งส่วนใหญ่ของเธอในปัจจุบัน ยังไม่ทันเกิดกันเลยด้วยซ้ำไป
CIS และ Unified Team ที่พักพิงชั่วคราว
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในช่วงปี 1991 อ็อคซาน่า ต้องลงแข่งในนามทีม CIS และUnified Team เป็นเวลาชั่วคราวราว 1-2 ปี
โดยทั้ง 2 ทีมก่อตั้งมาเพื่อรองรับนักกีฬาในกลุ่มประเทศที่แตกออกมาจากสหภาพโซเวียต
ถึงสีเสื้อจะเปลี่ยนไปแต่ความยอดเยี่ยมของเธอยังคงอยู่ โดยเธอคว้าเหรียญทองแดงในศึกชิงแชมป์โลกปี 1992 ในอุปกรณ์ม้ากระโดด
ร่วมกับทีม CIS และในโอลิมปิก เกมส์ที่ บาร์เซโลน่า ในปีเดียวกันนั้นเอง
เธอสร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองโอลิมปิก ในการแข่งขันยิมนาสติกประเภททีม ร่วมกับ Unified Team ได้สำเร็จ
กลับสู่บ้านเกิด
ในปี 1993 อ็อคซาน่า ชูโซวิตาน่า ก็ได้กลับสู่อ้อมอกประเทศแม่อย่าง อุซเบกิสถาน
ถึงแม้ว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ศูนย์ฝึกยิมนาสติกในอุซเบกิสถาน จะมีมาตรฐานต่ำกว่าในสหภาพโซเวียตที่เธอเคยฝึกซ้อมอยู่มากก็ตามที
แต่ตัวเธอก็ยังรักษามาตรฐานการเล่นในระดับโลกเอาไว้ได้
โดยช่วงปี 1993-2006 เธอยกระดับทีมชาติอุซเบกิสถานให้เป็นหนึ่งชาติมหาอำนาจด้านยิมนาสติกของทวีปเอเชีย
โดยเธอเข้าแข่งเอเชี่ยนเกมส์ 3 ครั้ง และคว้าไปถึง 2 เหรียญทองจาก ม้ากระโดด และฟลอร์เอ็กเซอร์ไซส์
โดยในระหว่างนั้นเธอยังควอลิฟาย ผ่านเข้าไปแข่งโอลิมปิกอีก 3 ครั้งในปี 1996, 2000 และ 2004
และอีกหนึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตเธอก็คือ การได้พบกับคนรักอย่าง บาร์โคเดีย เคอบานอฟ นักมวยปล้ำทีมชาติอุซเบกิสถาน
ซึ่งทั้ง 2 แต่งงานกันในปี 1997 และให้กำเนิดลูกชาย อลิสเชอร์ ในปี 1999 ซึ่งเจ้าหนูอลิสเชอร์นี่แหละที่ทำให้ชีวิตนักยิมนาสติกของเธอต้องเดินทางไกลอีกครั้ง
เล่นให้เยอรมนี เพื่อช่วยชีวิตลูกชาย
ในปี 2002 หนูน้อยอลิชเชอร์ล้มป่วยเป็นโรคลูคีเมีย แน่นอนผู้เป็นแม่อย่างเธอ ต้องหาวิธีรักษาลูกชายอย่างสุดความสามารถ
หลังจาก อุซเบกิสถาน และรัสเซีย ไม่สามารถให้การรักษาได้ดีพอ ก่อนเธอจะได้รับการช่วยเหลือจาก ปีเตอร์ บรุกแมน เฮดโค้ชของทีม โตโยต้า โคโลญจน์ คลับ
โดยมีข้อแม้ว่าเธอต้องลงแข่งให้ทีมชาติเยอรมนี ซึ่งสำหรับผู้เป็นแม่แล้วชีวิตลูกต้องมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม ชูโซวิตาน่า ต้องรอถึง 3 ปีจึงจะได้โอนย้ายมาเล่นให้กับเยอรมันตามกฎในปี 2006
โดยในช่วงนั้นเธอต้องลงแข่งในระดับสโมสรเพื่อนำเงินรางวัลจากการลงแข่งขัน และเงินช่วยเหลือจากครอบครัว บรุกแมน
รวมถึงเงินบริจาคจากกลุ่มสมาชิกยิมนาสติกนานาชาติ มาใช้ในการรักษาลูก
ถึงขนาดที่เธอสัมภาษณ์กับสื่อต่าง ๆ เลยว่า ถ้าเธอเลิกเล่นวันนี้เท่ากับลูกเธอต้องตายไปด้วยเลยทีเดียว
และเธอตอบแทนประเทศเยอรมันที่ช่วยรักษาชีวิตลูกชายเธอด้วย เหรียญเงินโอลิมปิกในปี 2008 ที่ปักกิ่ง จากม้ากระโดดอุปกรณ์ถนัด
และยังเข้าร่วม ลอนดอน โอลิมปิก เกมส์ในปี 2012 ร่วมกับทีมชาติเยอรมนี ซึ่งนั่นนับเป็นโอลิมปิก เกมส์ สมัยที่ 6 ในชีวิตของเธอเข้าไปแล้ว
ขอกลับมาคว้าเหรียญโอลิมปิกให้บ้านเกิด
ถึงแม้ว่าเธอประสบความสำเร็จอย่างมากมายในวงการยิมนาสติก
แต่สิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในใจเสมอก็คือ เธอยังไม่เคยคว้าเหรียญ โอลิมปิก ให้กับประเทศบ้านเกิดอย่างอุซเบกิสถานได้เลย
โดยการได้เหรียญโอลิมปิกของเธอได้ร่วมกับ Unified Team และทีมชาติเยอรมนี ทำให้เธอตัดสินใจ ย้ายกลับมาเล่นให้กับบ้านเกิดอีกครั้ง
กลับมารอบนี้ถึงอายุจะเยอะขึ้น แต่เธอก็ยังสามารถพาบ้านเกิดคว้าเหรียญเงินในเอเชี่ยนเกมส์ 2 สมัย
ในปี 2014 และ2018 จากม้ากระโดด และยังเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก เกมส์ 2016 ที่นครริโอ เดอ จาเนโร เป็นสมัยที่ 7 สร้างสถิติเป็นนักยิมนาสติกที่เข้าร่วมโอลิมปิกมากที่สุด
และยังเป็นนักยิมนาสติกที่อายุมากที่สุดที่ 41 ปี กับ 2 เดือน ที่เข้าแข่งโอลิมปิก เกมส์
ขณะที่ใน โตเกียว เกมส์ 2020 ชูโซวิตาน่า ก็ยังคว้าตั๋วเพื่อลงแข่งโอลิมปิกสมัยที่ 8 ของตัวเองได้สำเร็จ
ซึ่งแม้การแข่งขันจะถูกเลื่อนไป 1 ปี แต่เธอก็ยังมีความมุ่งมั่นที่จะคว้าเหรียญโอลิมปิกเพื่อบ้านเกิดให้ได้ แม้ถึงเวลานั้นเธอจะมีอายุ 46 ปี และต้องลงแข่งกับนักกีฬารุ่นหลานก็ตาม